เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ ม.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะตั้งใจฟังธรรมฟังธรรม เราขวนขวายนะ คนที่มาอยู่วัดน่ะขวนขวายขวนขวายประพฤติปฏิบัติเพื่อมีคุณธรรมเราเกิดมาเป็นชาวพุทธไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นรัตนะ ๒ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรมเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หมายถึงอริยสงฆ์ หมายถึงแก้วสารพัดนึกของเรา

ทีนี้พอพระสงฆ์ เราเป็นชาวพุทธนะ ชาวพุทธเราปรารถนาปรารถนาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คนเรามีเป้าหมายที่นั่น ทีนี้มีเป้าหมายที่นั่นในชีวิตชีวิตหนึ่งเวลาเราเกิดมาแล้วเราต้องขวนขวายเพื่อดำรงชีวิตๆ ชีวิตนี้มีค่ามาก ชีวิตนี้มีค่ามาก แต่เกิดมาในกำเนิด๔ เกิดในพรหมต้องมีผัสสาหารเกิดในเทวดาต้องมีวิญญาณาหาร เกิดในมนุษย์ ในสัตว์เดรัจฉานต้องมีกวฬิงการาหาร อาหารเป็นคำข้าว มโนสัญเจตนาหารมโนคือความระลึกถึงกันในวัฏจักรเลยล่ะเพราะอะไรเพราะว่าจิตหนึ่งจิตหนึ่งเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มโนสัญเจตนาหารๆมโนเข้าถึงกันได้หมด

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา สิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้ว พ้นไปจาก ๓ โลกธาตุ พอพ้นออกไปแล้ว พ้นออกไปทั้งหมด มโนก็ต้องทำลายทิ้งทั้งหมด ถ้าทำลายทิ้งไปแล้วนั้นคือว่าสิ้นสุดแห่งทุกข์

แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราปรารถนาของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเราเพื่อให้เห็นคุณธรรมในใจของเรา เราขวนขวายของเรา ขวนขวายของเรา เวลาเราเกิดมา ทุกคนเกิดมาแล้วก็อยากให้สุขภาพสมบูรณ์ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย การสุขภาพสมบูรณ์ๆ สุขภาพแข็งแรง ทุกคนอวยพรกันๆ ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะ ถ้าสุขภาพแข็งแรงเราทำสิ่งใดเราก็ทำได้ใช่ไหม ถ้าคนอาการครบ๓๒ จิตใจสมบูรณ์ ทำสิ่งใดก็ทำด้วยความถนัด แต่ถ้าคนเราเกิดมาเจ็บไข้ได้ป่วย ทำสิ่งใดมันทำด้วยไม่ทันเขา แต่คนเราถ้ามีกำลังใจขึ้นมา ทำได้ทั้งนั้นน่ะ นี่พูดถึงว่าสุขภาพสมบูรณ์สุขภาพแข็งแรง

ถ้าสุขภาพแข็งแรงสุขภาพแข็งแรงเราก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย พอปัจจัยเครื่องอาศัยนะ ดูพระเราสิ เวลาพระเราบวชมาแล้วยังต้องมีปัจจัย ๔เวลาบวชขึ้นมาบวชเป็นพระเวลาไปหาอุปัชฌาย์นะ นี่บาตรของเธอหรือ ปตฺตํ บาตรของเรา บาตรนี้คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ไตรจีวรเสร็จแล้วเวลาอยู่ในเรือนว่างแล้วฉันน้ำดองมูตรเน่า นี่คือปัจจัย ๔

ถ้าปัจจัย๔ ปัจจัย ๔ เลี้ยงอะไรล่ะ ก็เลี้ยงร่างกายนี้ไงสุขภาพสมบูรณ์ๆ เราก็แสวงหาสิ่งนั้นเพื่อสุขภาพของเราใช่ไหม ถ้าหาเพื่อสุขภาพของเรา เราทำหน้าที่การงานขึ้นมาก็เพื่อรักษาสุขภาพของเราถ้าสุขภาพของเรา ถ้าสุขภาพของเราแข็งแรงแต่เวลาชราคร่ำคร่า โลกนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด คนเราถึงที่สุดแล้ว ชีวิตนี้ต้องมีการพลัดพรากไป จิตนี้มันต้องพลัดพรากไป มันต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันต้องหมุนของมันไปถ้าหมุนของมันไป ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตรงนี้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตรงนี้เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณอดีตชาติมาจากไหน ถ้าไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์จุตูปปาตญาณญาณหยั่งเห็นว่าจิตดวงนี้มันเกิดอย่างใด อาสวักขยญาณ ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถึงว่าจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตมีการพลัดพรากเป็นที่สุดในสถานะภพชาตินี้ ถึงบอกว่าชีวิตนี้เป็นสมมุติ ภพชาตินี้เป็นสมมุติถ้าสัจจะความจริง จิตเวียนว่ายตายเกิดในสัจจะความจริง ชีวิตนี้เป็นสมมุติเพราะสมมุติคือภพชาติหนึ่ง มันเวียนว่ายตายเกิด ภพชาติหนึ่งเกิดมาให้เราสร้างคุณงามความดีของเราสร้างคุณงามความดีของเราเพื่อให้บุญพาเกิดไง

ถ้าบุญพาเกิด คนเราบุญพาเกิด เกิดมาด้วยกัน คนที่เกิดมามีบุญกุศล เขาจะทุกข์จนเข็ญใจอย่างไรแต่จิตใจเขามีคุณธรรมของเขาเราเกิดมา เราขวนขวายของเราเพื่อความมั่นคงของเราจิตใจของเรามันว้าวุ่น เพราะอะไรล่ะ เพราะเราไม่มีสัจธรรม ไม่มีธรรมะในหัวใจของเราไง

ถ้ามีธรรมะในหัวใจนะ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมธรรมะย่อมคุ้มครอง มีศีลศีลเป็นความปกติของใจ ถ้ามีศีลเป็นความปกติของใจ มีศีลเราไม่เบียดเบียนใครเราไม่รังแกใครเราไม่ทำร้ายใคร ใครจะมาทำอะไรเราล่ะถ้าเราไม่ทำอะไรใครแล้วจิตใจเราอบอุ่นไหมล่ะจิตใจเรามีความอบอุ่น เห็นไหมถ้ามีศีล มีสมาธิโอ้โฮ! ชีวิตนี้มีค่าอย่างนี้เองชีวิตมีค่าเพราะจิตใจเวลาจิตมันทำความสงบของใจได้ มันมีความสุข มีความสุขอย่างนี้ นี่ความสุขขนาดนี้นะ แล้วถ้ามันสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปมันวิมุตติสุขมันจะสุขขนาดไหนถ้ามันสุขขนาดไหน สุขสิ สุขที่มันคงที่ตายตัวของมัน มันไม่เปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว

ทุกคนต้องการความมั่นคงของชีวิตทุกคนต้องการความแน่นอนแล้วแน่นอนมีที่ไหนล่ะ โลกนี้มีแต่อนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตามันไม่มีอะไรคงที่หรอก ความเปลี่ยนแปลงคือความจริงจังความเปลี่ยนแปลงคือความจริง มันมีความเปลี่ยนแปลงของมันตลอดเวลา นี่ผลของวัฏฏะไง ผลของวัฏฏะมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันพัดไปนี่กระแสของโลกไง แต่หัวใจของเราถ้ามันมีสิ่งนั้นกระทบกระเทือนแล้วมันไปกับเขา มันก็ไปกว้านเอาความทุกข์ความยากมาในหัวใจ แล้วเราก็เรียกร้องไงเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาบอกทำบุญกุศลแล้วเราจะได้บุญๆ

ได้บุญแน่นอน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มีการกระทำ มีการกระทำแล้วมันไม่มีผลได้อย่างไร มันมีแน่นอน มันมีแน่นอน แต่มันมีแล้วเราไม่เข้าใจบุญนั้นเอง

บุญไงบุญคือความสุขใจ บุญคือความอบอุ่นในหัวใจ สิ่งที่เป็นวัตถุเสียสละไปเสียสละเพราะเจตนาของหัวใจนี้มันมีการกระทำของมัน ถ้าทำของมันแล้วมันสำรอกมันไปคายความตระหนี่ถี่เหนียวมันไปคายความยึดมั่นถือมั่นในหัวใจอันนั้น ถ้ามันไปคายความยึดมั่นถือมั่นในหัวใจอันนั้น มันอยู่ที่ไหนมันก็อยู่ได้ มันจะอยู่ที่ไหน มันจะเผชิญสิ่งใดก็เผชิญได้ แต่นี่มันเผชิญไม่ได้เพราะอะไรเพราะข้างในมันหวั่นไหวไง มันหวั่นไหว มันระแวงไปหมดทำอะไรไม่แน่ใจสักอย่างหนึ่งแล้วบุญเป็นอย่างไรก็ไม่รู้

วัตถุพึ่งไม่ได้ สิ่งที่เราเสียสละ เสียสละวัตถุทั้งนั้นน่ะ สิ่งนี้วัตถุทั้งนั้นน่ะแต่วัตถุนี้เราเสียสละ วัตถุมันทำอะไรสิ่งใดไม่ได้แต่เพราะหัวใจคนๆ เจตนาของเรา เราเสียสละสิ่งนี้ไป จิตใจที่เป็นนามธรรมเสียสละสิ่งที่เป็นวัตถุ แต่นามธรรมนั้นได้เสียสละไปนามธรรมนั้นได้ซักฟอกตัวเองนามธรรมนั้นได้ซักฟอกตัวเองนะความตระหนี่ถี่เหนียว ความอึดอัดในหัวใจของเรา ใครไปซักฟอกมัน ใครจะไปซักฟอกมัน

เจตนาการกระทำของเราซักฟอกมันซักฟอกมันเพราะมันได้กระทำ มันรู้ของมันนะ นี่ความลับไม่มีในโลกไง ใครทำสิ่งใดใครรู้อย่างนั้นใครคิดสิ่งใดใครรู้อย่างนั้นใครทำอะไรในหัวใจรู้หมด ตัวเองนี่รู้ แล้วการกระทำอันนี้เสียสละทานเสียสละวัตถุนั้นแต่หัวใจเป็นผู้เสียสละ หัวใจเป็นผู้กระทำหัวใจ การกระทำอันนั้น กิริยาอันนั้น กิริยาการกระทำอันนั้นมันไปซักฟอกอันนั้นถ้าซักฟอกอันนั้นขึ้นมา นี่ไงความตระหนี่ถี่เหนียว ตัวตนของเรามันเบาบางลงๆ

นี่ไง บอกเกิดมาเราจะหาความสุขของเราๆ

ความสุขมันหาที่ไหนความสุขทางโลก ความสุขนั้นเป็นสุขเวทนาทุกขเวทนา ถ้ามันพอใจมันก็มีความสุข เราปรารถนาสิ่งใดหาสิ่งใดสมความปรารถนาเออ! มีความสุขแล้วพอไหมเดี๋ยวมันก็ปรารถนาต่อไปเพราะโลกนี้เป็นอนิจจัง เราต้องอยู่ต้องใช้ ต้องอาศัยตลอด ชีวิตนี้มันต้องอาศัยสิ่งนี้ ของมันต้องอาศัยของมัน แต่อาศัยด้วยมีสติมีคุณธรรมในหัวใจ มีคุณธรรมในหัวใจ เราก็มีเราก็ได้อาศัยเราก็ได้ใช้สอยมันนี่แหละ การใช้สอยอย่างนั้นแล้ว ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด คนอื่นก็จะมาใช้สอยต่อไปสังคมก็ใช้สอยกันอยู่อย่างนี้เราก็จะใช้สอยอยู่กับเขา นี่เรื่องโลก

ทีนี้พอเรื่องโลก เราเป็นชาวพุทธใช่ไหมพระพุทธศาสนาสอนถึงหัวใจของเราไง เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ แล้วอะไรเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราก็บอก “ศาสนาพุทธเขียนเสือให้วัวกลัว นรกสวรรค์ไม่มีหรอก เกิดมาแล้วก็ชาติเดียว”

ถ้าไม่มีนรกสวรรค์ คนมันมาจากไหนคนนี้มันมาจากไหน การเวียนว่ายตายเกิด จิตมันไปพัก จิตเวลาถึงวาระของมัน มันก็ไปพักตามสถานะของมัน มันเหมือนรถเมล์ รถเมล์ก็จอดตามป้ายนั่นน่ะ ป้ายที่ไหนนะสุดท้ายแล้วเข้าอู่พรุ่งนี้เช้าออกวิ่งอีกแล้ว

จิตก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะของมันไป แล้วเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะของมันไปสิ่งที่เวียนว่ายตายเกิด อะไรพาให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะล่ะก็บุญกุศล บาปอกุศลนี่ไง ถ้าบุญกุศล บาปอกุศล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทำทานไง ทำทานเราเสียสละวัตถุแต่หัวใจเป็นผู้กระทำ หัวใจเป็นผู้รับรู้ หัวใจนี้เป็นผู้ได้ หัวใจนี้เป็นผู้ได้ ผู้ให้อิ่มเอิบ ไปไหนมันพอใจหมดแหละ แล้วมันจะไปไหนล่ะสบายใจ มันไปไหนล่ะ ตายไปมันก็เบาของมันนะ

แต่มีแต่ความกดถ่วงหัวใจ มีแต่ความหนักหน่วงหัวใจจิตใจที่มันอึดอัดขัดข้อง ไปไหนล่ะ มันก็ตกต่ำไปน่ะสิ นี่ไง ถ้ามันตกต่ำไป ทำไมถึงตกต่ำล่ะตกต่ำเพราะเราอึดอัดขัดข้องเพราะเราบีบคั้นหัวใจของเราเองแล้วใครมันบีบคั้นล่ะ โลกมันบีบคั้นหรือ ฝ่ายตรงข้ามบีบคั้นหรือ ไม่มีใครบีบคั้นเลย กิเลส

เพราะเขาทำอะไรเขายังไม่รู้ว่าเขาทำเราหรือเปล่าเห็นไหม เราเข้าใจผิด เราไม่รู้เรื่อง เราไปกว้านมาเอง เขาจะโจมตี เขาจะทำอย่างไรมันก็เรื่องของเขาเรื่องของเขานะธรรมะของเราคือในหัวใจของเรา เรามีสติปัญญา เสียงมันอยู่ข้างนอก เราไปหยิบไปฉวยมันมาทำไม

สิ่งที่เราจะหยิบจะฉวยต่อเมื่อเรามีสติปัญญานะ เรามีสติปัญญานะเสียงสิ่งใดที่เกิดขึ้น โลกธรรม ๘เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเป็นถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม สิ่งที่มันทำให้ความเสียหาย เราก็แก้ไขของเรา เราก็แก้ไขของเราเพราะเรามีสติปัญญาสามารถที่จะจับต้องสามารถที่จะวินิจฉัยได้ว่ามันถูกหรือผิด

ครูบาอาจารย์ท่านสอนประจำนะโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก คนโง่มากกว่าคนฉลาด คนโง่ไม่มีเหตุผล ดูสิ ข่าวลือ มึงกระซิบไปสิ ไปเลย มันไม่ได้คิดเลยว่าถูกหรือผิดน่ะ มันไม่ได้คิดเลย

แต่ถ้ามันมีข่าวนะ มันจริงหรือเปล่า มันจริง เป็นไปได้ไหม นี่ไง ถ้าเรามีจุดยืนของเรา นี่โลกธรรม ๘ ถ้าสิ่งใด เราก็แก้ไขของเราสิ เราอยู่กับโลก เราไม่ขวางโลก ธรรมะไปขวางโลกที่ไหน ธรรมะส่งเสริมตลอดธรรมะมีคุณค่าทั้งนั้นน่ะ คุณค่าตรงไหน คุณค่าที่มีสติมีปัญญาแยกแยะได้ว่าถูกหรือผิดแยกแยะได้ว่าควรหรือไม่ควรถ้าไม่ควร เราก็ไม่ทำ ถ้ามันสมควร คุณงามความดีเราสมควร เราเหยียบคันเร่งเลย เราทำคุณงามความดีกับเราเลย

นี่ไง ผลของวัฏฏะๆ บุญและบาปมันติดหัวใจเราไปหัวใจเรานี่ หัวใจเรานี่ หัวใจเราเป็นคนกระทำถ้าไม่มีหัวใจไม่มีสติปัญญาใครคิด ใครทำเหยื่อทั้งนั้นกิเลสมันชักลากไปทั้งนั้น แล้วให้กิเลสในหัวใจเราชักลากไปแล้วก็ไปโทษคนนู้นโทษคนนี้โทษใครไปหมดเลย

มันโทษความโง่ของตัวเอง โทษสติปัญญาเรา ถ้าเรามีสติปัญญาทำบุญๆ ทำบุญอย่างนี้ ทำบุญแล้วให้มันพัฒนาไง จิตใจเราพัฒนา เราทำบุญแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์นะอตฺตา หิ อตฺตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จะพึ่งใคร พ่อแม่ก็ให้ชีวิตนี้มา พ่อแม่ก็เลี้ยงดูมากตัญญูกตเวทีพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของเราหมู่คณะเพื่อนฝูงก็อยู่ด้วยกันสังคมก็อยู่ด้วยกัน เจ็บไข้ได้ป่วย เราก็เจ็บไข้ได้ป่วยเอง ถ้าฉลาดก็ฉลาดเองถ้าโง่ก็โง่เอง ถ้าตายก็ตายเองถ้ามีความทุกข์ก็ทุกข์ในหัวใจเองถ้ามีความสุขก็ความสุขในหัวใจเอง อ้าว! ใครช่วยใครล่ะมันก็แค่พึ่งพาอาศัยกันเท่านั้นน่ะ

แต่ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ เรามีคุณธรรมในหัวใจ อภิชาตบุตร บุตรดีกว่าพ่อกว่าแม่ พ่อแม่ก็เลี้ยงดูเรามา พ่อแม่ก็ส่งเสริมเรามา แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา อภิชาตบุตร อภิชาตบุตรนะ เข้าใจตั้งแต่โลกนี้ไงโลกนี้มีคุณค่าแล้ว พ่อแม่เราจะต่ำต้อยสูงส่งขนาดไหนก็พ่อแม่เรา ก็พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา ให้ชีวิตนี้มา ก็พ่อแม่ของเรา เราก็ดูแลพ่อแม่ของเรา ชีวิตนี้มีค่าที่สุด เพราะเราได้ชีวิตนี้มา เราถึงได้มีหูฟังเสียงอยู่นี่ เราถึงได้อายตนะ ๖ ได้รับรู้สิ่งต่างๆ เพราะเรามีชีวิตมาไง

หน้าที่การงาน สถานะต่างๆ เราก็ได้มาเพราะชีวิตนี้แล้วได้ชีวิตนี้แล้วเรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตนี้มีค่าๆ มีค่าที่ไหน มีค่าที่หัวใจนี้ หัวใจนี้เป็นผู้บรรลุธรรม ไม่มีสิ่งใดบรรลุธรรมหรอก หัวใจนี้ถ้าสุขมันก็สุขที่หัวใจนี้ ทุกข์ก็ทุกข์ที่หัวใจนี้ถ้าหัวใจนี้มีสติปัญญาขวนขวายกันมาวัดมาวา

มาวัดมาวา มาเสียสละทำไม เสียสละให้ผู้ทรงศีลไงท่านไม่มีอาชีพท่านไม่มีปัจจัยเครื่องอาศัย เรามาเสียสละของเราเพื่อประโยชน์กับเราไง ถ้าเสียสละไปแล้ว สิ่งที่เราเสียสละไปแล้วท่านฉันของเรา ท่านใช้สอยของเราท่านทำความสงบของใจของท่าน ท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน ของเราทั้งนั้นน่ะ เพราะท่านเอากำลังไปจากปัจจัย ๔ ที่เรายื่นให้ เรายื่นปัจจัย ๔ ให้ท่านไปแล้ว ท่านใช้สอยแล้วท่านเอาหัวใจของท่านไปทำงานของท่าน แล้วท่านไปรู้ไปเห็นอะไร เราได้หมดแล้ว นี่ไง เรามาวัดมาวาเพื่อเหตุนี้ไง

ถ้าเราทำของเรา ทำบุญกุศล ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราทำของเรา ทำของเราเพื่อบุญกุศลของเรา ถ้าบุญกุศลเกิดที่ไหนล่ะ เกิด เราทำสิ่งใด เราขาดตกบกพร่องสิ่งใดก็มีคนช่วยเหลือดูแล กลิ่นของศีลหอมทวนลมไงคนดีจะทำสิ่งใดนะ มันจะขาดตกบกพร่องทั้งนั้นน่ะ โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่มีอะไรเต็มๆ หรอกโลกนี้จะพร่องอยู่เป็นนิจ แต่ถ้าคนที่มีบารมีกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม เขาทำคุณงามความดี ใครรู้ใครเห็นเขาก็อยากช่วยนะ อยากช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ก็เห็นใจ เห็นใจน้ำใจนี่เห็นใจนะคนคนนี้เขาเป็นคนดี คนคนนี้เขาดี แต่ถึงวาระของเขา เขาเป็นอย่างนั้น นี่น้ำใจ

เขามีน้ำใจ เราก็อุ่นใจแล้ว เราต้องการแค่นี้ เราต้องการคนมีน้ำใจกับเราไง เราไม่ต้องการคนเหยียบย่ำ เราไม่ต้องการคนมายกย่องจนไม่สมกับความเป็นจริงเราต้องการน้ำใจจากเขาน้ำใจ ถ้ามีน้ำใจต่อกัน เราอยู่ด้วยความไว้วางใจ เพราะเราขาดน้ำใจต่อกันไง ระแวงไปหมดเลย ไอ้หวาดระแวง อยู่กันด้วยความหวาดระแวงทุกข์มากนะ แต่ถ้ามันอยู่ด้วยกันด้วยความอบอุ่นมีน้ำใจต่อกัน นี่ไง ถ้าธรรมะแล้วมันอยู่ที่ใจ หัวใจมันมีคุณค่า ถ้ามีคุณค่าอย่างนี้ปั๊บนะ อบอุ่นไปหมด ปัจจัยเครื่องอาศัยเลยกลายเป็นของรองไปเลย ถ้าไม่อย่างนั้นนะ อู้ฮู! อัดอั้นตันใจ นู่นก็ไม่มี นี่ก็ไม่ได้โอ๋ย! ทุกข์ไปหมดเลย

แต่ถ้ามันมีความอบอุ่นมันมีน้ำใจต่อกันมันมีอยู่เยอะแยะ จะใช้สอยอะไรกันนักหนาอยู่ด้วยกัน กินก็อิ่มเดียวเท่านั้นน่ะ ของใช้สอยมันเยอะแยะ แต่ถ้าหัวใจมันทุกข์มันยากนะ อู้ฮู! มันขาดแคลนมันระแวง มันจะแสวงหามากักตุนไว้ กักตุนไว้แล้วไม่ได้ใช้แต่ถ้าหัวใจเป็นธรรมเนาะ เราใช้ของเราเพื่อประโยชน์กับเราใจมันมีคุณค่าอย่างนี้ แล้วคิดดูสิ ถ้ามีคุณค่าอย่างนี้ เราจะปากกัดตีนถีบขนมาสะสมไว้ไหม ขนมา ขนมาถ้าเรามีปัญญา เราก็เสียสละของเราเพื่อประโยชน์กับเราเพื่อประโยชน์กับหัวใจดวงนี้

ไฟไหม้บ้าน ถ้าใครเอาสมบัติออกจากบ้านได้เท่าไรก็ของเรา ชีวิตนี้เราเก็บสะสมไว้เต็มที่เลย แล้วตายไป เขาเผาศพ เผาหมดเลยทรัพย์สมบัติเป็นของโลก เราไปแค่นั้นแหละ ไฟไหม้บ้านจะไม่ได้อะไรไปเลย

ถ้าเราเสียสละออกไปเวลาเราตายไปเขาเผาเราไปนั่นแหละ ไฟไหม้บ้านก็ไหม้บ้านเราไปนี่แหละ แต่ที่เราสละออกไปแล้วเขาเผาไม่ได้ที่เราเสียสละออกไป เขาเผาไม่ได้หรอก นั่นแหละของเราเพราะอะไรเพราะเราเป็นคนเสียสละเอง ใจเป็นคนรู้ว่าเสียสละเอง ความลับไม่มีในโลกใจมันจำได้เองเวลาตายไปแล้วที่ทำมาแล้วเป็นทิพย์สมบัติๆทิพย์สมบัติตรงนี้ไง ทิพย์สมบัติที่มันฝังไปกับใจไงใจมันจำได้ ใจมันระลึกได้ นี่ทิพย์สมบัติ แต่เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ขณะภพชาติหนึ่งมันลืมมันนึกไม่ได้หรอก แต่อันนี้มันมีผลกับจิตดวงนี้

ถ้าไม่มีผลกับจิตดวงนี้พระโพธิสัตว์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละชีวิตมากี่ภพกี่ชาติถึงได้มีอำนาจวาสนาทำให้ใจมีอำนาจวาสนาบารมี ถึงได้ตรัสรู้ธรรมเองโดยชอบ เพราะด้วยการทำทานอันนี้มา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำอย่างนี้มาแต่ถึงที่สุดแล้วถึงที่สุดเวลามาตรัสรู้ ตรัสรู้ด้วยมรรคญาณตรัสรู้ด้วยศีลสมาธิ ปัญญา แต่ก็ต้องมีอำนาจวาสนามาจากการเสียสละมาอย่างนั้น จิตใจถึงเข้มแข็ง จิตใจถึงมีสติปัญญาค้นคว้าเอาใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นจากทุกข์ไป เอวัง